วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

DATA WAREHOUSE PROCESS&BUSINESS INTELLIGENCE




 
Data Warehouse (คลังข้อมูล) คือ ฐานข้อมูลขององค์กร หรือหน่วยงานหนึ่งๆ ซึ่งทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลจากฐานข้อมูลที่เป็นระบบงานประจำวันขององค์กร (Operation Database) และฐานข้อมูลอื่นภายนอกองค์กร (External Database) ข้อมูลที่ถูกจัดเก็บในคลังข้อมูลนั้นจะเป็นข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อนำมาใช้งาน โดยสามารถเรียกใช้ข้อมูลย้อนหลังได้ โดยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆ แต่อาจปรับเพื่อความเหมาะสมก่อนที่จะนำไปเก็บในคลัง และมักจัดเก็บเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต่อการใช้งานเพื่อการตัดสินใจหรือใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ โดยการวิเคราะห์ต้องทำได้แบบหลายมิติ (Multidimensional Analysis) ข้อมูลในคลังข้อมูลนี้จะถูกนำมาใช้เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจบริหารงานของผู้บริหาร

เป้าหมายของการสร้างData Warehouse
คือ การแยกกลุ่มสารสนเทศที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางธุรกิจออกจากฐานข้อมูลที่ใช้งานประจำวัน ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และทำให้การเรียกใช้ข้อมูลทำได้อย่างยืดหยุ่น และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ผู้บริหารสามารถเรียกข้อมูลรายละเอียดที่จำเป็นมาช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างแม่นยำขึ้น

 ประโยชน์ของการสร้างData Warehouse
1.สามารถนำข้อมูลมาใช้ได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง
2.ทำการรวบรวมข้อมูลที่มีความซับซ้อนให้ง่ายต่อการจัดเก็บ
    3.ช่วยเสริมสร้างความรู้ของบุคลากร และสนับสนุนการตัดสินใจให้เกิดประสิทธิภาพ
        4.สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจให้มีความรวดเร็วขึ้น

คุณสมบัติของData Warehouse

  •       Organization : คลังข้อมูลจะถูกสร้างจากหัวข้อหลักทางธุรกิจที่เน้นเนื้อหาที่สนใจ เช่น ลูกค้า ผลิตภัณฑ์ ยอดขาย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่ต้องการจัดเก็บเพื่อใช้ในการสนับสนุนการตัดสินใจ
  •        Consistency : ข้อมูลจากแหล่งต่างๆที่รวมรวมมาไว้ในคลังข้อมูลจะต้องทีคุณสมบัติที่เหมือนกัน รูปแบบเดียวกัน และสอดคล้องกัน
  •        Time Variant : ข้อมูลที่จัดเก็บในคลังข้อมูลจะต้องเป็นข้อมูลที่จัดเก็บโดยกำหนดช่วงเวลาเอาไว้ (Timing) โดยจะสัมพันธ์กับการดำเนินธุรกิจของหน่วยธุรกิจนั้น เพราะการตัดสินใจด้านการบริหารจำเป็นต้องมีข้อมูลเปรียบเทียบในแต่ละช่วงเวลา
  •    Non-volatile : ข้อมูลในคลังข้อมูลจะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มเติมข้อมูลใหม่ หรือการปรับปรุงแก้ไข ผู้ใช้จะสามารถทำได้เพียงเรียกใช้งานเท่านั้น
  •        Relational : การรวบรวมข้อมูลจากหลายฐานข้อมูลปฏิบัติการเข้าด้วยกัน และทำให้ข้อมูลมีมาตราฐานเดียวกัน เช่นกำหนดให้มีค่าตัวแปรของข้อมูลในเนื้อหาเดียวกัน และให้เป็นแบบเดียวกันทั้งหมด
  •         Client/Server : การรวบรวมข้อมูลที่เกิดขึ้นในระดับปฏิบัติการมาไว้ที่ศูนย์กลางเดียวกัน เพื่อให้ผู้ใช้สะดวกในการเข้าถึง

Data Warehouse Architecture (DWA)

      Operational Database หรือExternal Database ทำหน้าที่ในการจัดการข้อมูลในระบบงานปฏิบัติการ หรือแหล่งข้อมูล
        ภายนอกองค์กร
      Data Staging (ETL) คือ การสกัดข้อมูล โดยในขั้นตอนนี้จะเป็นการตรวจสอบและแก้ไขจุดบกพร่อง เพื่อให้ข้อมูลมีความถูก
        ต้อง โดยในขั้นตอนนี้ประกอบด้วย
-Extract : การคัดเลือกข้อมูล
-Clean : การตรวจสอบและแก้ไขข้อมูล
-Transform : การแปรรูปข้อมูล
-Load : การรวมข้อมูลหลาย ๆฐานเข้าด้วยกัน
Data Warehouse ทำหน้าที่เป็นแหล่งเก็บข้อมูล ซึ่งทำให้ข้อมูลอยู่ในรูปแบบที่ง่ายแก่การเข้าถึงและยืดหยุ่นได้
Meta Data ทำหน้าที่ อธิบายข้อมูลที่อยู่ในคลังข้อมูล เพื่อให้เข้าใจข้อมูลได้ง่ายขึ้น
Data Mart คือ คลังข้อมูลที่มีขนาดเล็กถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในหน่วย ธุรกิจเชิงกลยุทธ์ (strategic business unit, SBU) หรือในแผนกหนึ่ง ๆ เป็นส่วนย่อยของ Data Warehouse เปรียบเสมือนคลังข้อมูลขนาดเล็กที่มีลักษณะเฉพาะ มีขนาดของข้อมูลและค่าใช้จ่ายต่ำ ซึ่งประกอบด้วย
-  Replicated (dependent) data marts คือกลุ่มย่อยขนาดเล็ก(small subset)หลาย ๆ กลุ่มของคลังข้อมูล ซึ่งก็คือการคัดลอกกลุ่มย่อยบางกลุ่มในคลังข้อมูล มาไว้ใน ตลาดข้อมูลเล็กๆ หลายๆ อัน แต่ละอันจะใช้เฉพาะ functional area ที่แน่นอน หนึ่ง ๆ เท่านั้น
-  Stand-alone data marts บริษัทสามารถมีตลาดข้อมูลเพียงหนึ่งหรือมากกว่าก็ได้ และเป็นอิสระจากกันโดยไม่จำเป็นต้องมีคลังข้อมูล การใช้ data mart ส่วนมาก ได้แก่ ฝ่ายการตลาด ฝ่ายบัญชี ฝ่ายที่ประยุกต์ใช้ในงานวิศวกรรม
Data Cube คือ ฐานข้อมูลหลายมิติ (Multidimensional Database) หรือเรียกอีกอย่างว่า OLAP  คือ เทคโนโลยีที่ใช้ข้อมูลจากคลังข้อมูล เพื่อนำไปใช้ในการวิเคราะห์และตัดสินใจทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพสามารถค้นหาคำตอบที่ต้องการ และสามารถแก้ปัญหาที่มีความซับซ้อนโดยใช้ระยะเวลาสั้น ๆ การวิเคราะห์การประมวลผลแบบออนไลน์ (On-Line Analytical Processing) หรือ OLAP เป็นกระบวนการประมวลผลข้อมูลที่ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกดูข้อมูลจากจุดการมองที่แตกต่างกันได้ง่าย เริ่มต้นจากการสรุปรวมข้อมูล ก่อนที่จะกระทำการสร้างรายงานและการสร้างแผนภูมิจากข้อมูลที่เลือก กระบวนการนี้ข้อมูลจะถูกเก็บในรูปแบบอะเรย์หลายมิติหรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า Data Cube เพื่อให้การค้นหาข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการบริหาร จัดการ วิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว มีความถูกต้อง ตอบสนองการเข้าถึงข้อมูลได้หลาย ๆ มุมมองและเข้ามามีส่วนช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อใช้ในการปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจ ด้วยความสามารถในการวิเคราะห์ที่ซับซ้อน อันได้แก่ การเจาะลึก (Drill-down) ไปถึงรายละเอียดในระดับทรานแซกชัน (Transaction) ผู้ใช้งานสามารถใช้งานข้อมูลตาม Cube ที่ถูกกำหนดไว้ (Cube คือ โมเดลข้อมูลของการวิเคราะห์การประมวลแบบออนไลน์ ซึ่งเป็นโครงสร้างหลายมิติ หรือ Multidimensional Structureเปรียบเสมือนกับรูปลูกบาศก์ที่มีมุมมองหลากหลาย แต่ละมุมมองทำให้เกิดการคิวรีข้อมูลจากคลังข้อมูลได้หลากหลายแบบ)

 *****************************************************************************

Business Intelligence
        คือ ซอฟต์แวร์ที่นำเข้าข้อมูลที่มีอยู่เพื่อจัดทำรายงานในรูปแบบต่างๆ ที่เหมาะสมกับมุมมองในการวิเคราะห์ แสดงความสัมพันธ์ และทำนายผลลัพธ์ของแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นได้ ตรงตามความต้องการขององค์กร เพื่อประโยชน์ในการวางแผนกลยุทธ์ด้านต่างๆ  เช่น การวิเคราะห์การดำเนินงานของบริษัทเพื่อการตัดสินใจของผู้บริหาร วิเคราะห์และวางแผนการขาย เป็นต้น
Business Intelligence จะประกอบไปด้วยระบบข้อมูล และโปรแกรมแอพพลิเคชั่น ด้านการวิเคราะห์ มากมายหลายระบบ เช่น Data Warehouse, Data Mart, Data Mining เป็นต้น

จุดเด่น Business Intelligence 
- ใช้งานง่ายเพียงแค่คลิกเมาส์ก็สามารถเปลี่ยนแปลงรายงานได้โดยไม่ต้องมีการคีย์ข้อมูลใหม่ ซึ่งผู้ใช้สามารถถาม ตอบคำถามทางธุรกิจได้หลายมุมมองเพียงในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งช่วยการตัดสินใจแม่นยำ และรวดเร็วกว่าคู่แข่ง ทั้งในเชิงกว้าง และเชิงลึก
- สามารถดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลที่หลากหลายภายในองค์กรมาทำการวิเคราะห์ เช่น Excel, FoxPro, Dbase, Access, ORACLE, SQL Server, Informix, Progress, DB2 เป็นต้น โดยไม่มีการเขียนโปรแกรมเพิ่มเติมใดๆ

ปัญหาที่พบบ่อยในการใช้ Business Intelligence 
- ไม่สามารถเชื่อมข้อมูลจากทุกส่วนได้ภายในระบบเดียวกัน เช่น ต้อง export ข้อมูลออกจากฐานข้อมูลก่อน จึงจะมาสร้าง Dashboard, Forecasting (พยากรณ์ข้อมูล) ได้
- องค์กรส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้งานในส่วน Analytics (การวิเคราะห์ข้อมูล) ได้อย่างคุ้มค่า เช่น บางระบบไม่สามารถ forecast ผลลัพธ์ได้ หรือ บางระบบ forecast ผลลัพธ์เชิงปริมาณแบบเส้นตรงเท่านั้น หรือ บางระบบไม่สามารถวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ หรือทำแบบจำลองเพื่อตัดสินใจได้ (Simulation for Decision)
- องค์กรขนาดใหญ่บางแห่ง อาจใช้เวลาในการติดตั้งระบบ (Implementation) นานหลายปี และต้องใช้เวลาอีกระดับหนึ่งกว่า user ของแผนกต่างๆ จะใช้งานได้คล่องแคล่ว
- การอัพเกรดระบบจากระบบเดิมอาจทำได้ยาก เช่น Data Warehouse เดิม ไม่รองรับ Business Intelligence ใหม่
- พนักงาน IT ขององค์กรขาดความรู้ความเข้าใจในเชิง Business, Management
- ค่าใช้จ่ายสูงมาก ทำให้องค์กรธุรกิจเล็กๆ หรือหน่วยงานที่มีงบไม่สูงนัก ขาดโอกาสในการจัดซื้อ






















วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554

DATA Management


ระบบสารสนเทศ (Information System) หมายถึง ระบบที่ทำหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาประมวลผล วิเคราะห์ข้อมูล โดยอาศัยบุคคลหรือเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อสร้างสารสนเทศสำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะด้าน และนำเสนอสารสนเทศให้กับผู้ที่ต้องการซึ่งต้องเป็นผู้ใช้ที่มีสิทธิได้รับสารสนเทศ รวมทั้งการจัดเก็บบันทึกข้อมูลที่นำเข้าสู่ระบบไว้เพื่อการใช้งานในอนาคต
            -ข้อมูล (Data) คือ ข้อเท็จจริงที่เราสนใจ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือ เหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งข้อมูลสามารถหาได้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ คอมพิวเตอร์ หรือสิ่งรอบๆ ตัว
            -สารสนเทศ (Information) คือ ข้อมูลที่ได้ผ่านการประมวลผลด้วยวิธีการที่เหมาะสม และถูกต้อง จนได้ผลลัพธ์ตรงตามความต้องการ อยู่ในรูปแบบที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ และอยู่ในช่วงเวลาที่ต้องการของผู้ใช้
            -ความรู้ (Knowledge) คือ สารสนเทศที่ผ่านกระบวนการคิดเปรียบเทียบเชื่อมโยงกับความรู้อื่น จนเกิดความเข้าใจและนำไปใช้ประโยชน์ในการสรุปและตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆ ได้ โดยไม่จำกัดช่วงเวลา หรือสารสนเทศที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับเราในการนำไปใช้งาน ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น
1) Implicit Knowledge: ความรู้ในตัวมนุษย์ ซึ่งเป็นความรู้เฉพาะตัวที่เกิดจากประสบการณ์ การศึกษา การสนทนา การฝึกอบรม เจตคติของแต่ละบุคคล เป็นความรู้บวกกับสติปัญญาและประสบการณ์
2) Explicit Knowledge: ความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดจากบุคคลออกมาในรูปของการบันทึกตามรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นสารสนเทศ
การประมวลผล (Process) อาจเกิดจากกิจกรรม ต่อไปนี้
- การจัดแบ่งกลุ่มข้อมูล
- การจัดเรียงข้อมูล
- การสรุปผล

ระบบสารสนเทศได้เป็น 4 ประเภท  ดังนี้
1.     ระบบสารสนเทศสำหรับระดับผู้ปฏิบัติงาน (Operational – level systems)   ช่วยสนับสนุนการทำงานของผู้ปฏิบัติงานในส่วนปฏิบัติงานพื้นฐานและงานทำรายการต่างๆขององค์กร เช่น ใบเสร็จรับเงิน รายการขาย การควบคุมวัสดุของหน่วยงาน เป็นต้น วัตถุประสงค์หลักของระบบนี้ก็เพื่อช่วยการดำเนินงานประจำแต่ละวัน และควบคุมรายการข้อมูลที่เกิดขึ้น

2.     ระบบสารสนเทศสำหรับผู้ชำนาญการ (Knowledge-level systems) ระบบนี้สนับสนุนผู้ทำงานที่มีความรู้เกี่ยวข้องกับข้อมูล วัตถุประสงค์หลักของระบบนี้ก็เพื่อช่วยให้มีการนำความรู้ใหม่มาใช้ และช่วยควบคุมการไหลเวียนของงานเอกสารขององค์กร
3.      ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร (Management - level systems) เป็นระบบสารสนเทศที่ช่วยในการตรวจสอบ การควบคุม การตัดสินใจ และการบริหารงานของผู้บริหารระดับกลางขององค์กร
4.     ระบบสารสนเทศระดับกลยุทธ์ (Strategic-level system)   เป็นระบบสารสนเทศที่ช่วยการบริหารระดับสูง ช่วยในการสนับสนุนการวางแผนระยะยาว หลักการของระบบคือต้องจัดความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมภายนอกกับความสามารถภายในที่องค์กรมี

การจัดการฐานข้อมูล(Database Management)
คือ การบริหารแหล่งข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมไว้ที่ศูนย์กลาง เพื่อตอบสนองต่อการใช้ของโปรแกรมประยุกต์อย่างมีประสิทธิภาพและลดการซ้ำซ้อนของข้อมูล รวมทั้งความขัดแย้งของข้อมูลที่เกิดขึ้นภายในองค์การ ในอดีตการเก็บข้อมูลมักจะเป็นอิสระต่อกันไม่มีการเชื่อมโยงของข้อมูลเกิดการสิ้นเปลืองพื้นที่ในการเก็บข้อมูล มีพื้นฐาน  4 ประการ คือ
1.       Data profiling: ความเข้าใจข้อมูล
2.       Data quality management: การพัฒนาประสิทธิภาพของข้อมูล
3.       Data integration: การรวบรวมข้อมูลที่เหมือนกันจากแหล่งต่างๆ
4.       Data augmentation: การเพิ่มคุณค่าของข้อมูล

วงจรชีวิตของข้อมูล (Data life cycle Process)
เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่จะบริหารข้อมูลให้ดียิ่งขึ้นมันก็จำเป็นที่จะต้องดูการไหลเวียนของข้อมูลในองค์กรว่าไปที่ไหนและอย่างไร ธุรกิจไม่ได้ดำเนินงานโดยใช้ข้อมูลดิบ (Raw Data) แต่จะดำเนินงานอยู่บนข้อมูลที่ถูกประมวลผลมาเป็นสารสนเทศ (Information) และองค์ความรู้ (Knowledge)
§  แหล่งข้อมูล (Data Sources) วงจรชีวิตของข้อมูลเริ่มจากการได้รับข้อมูลมาจากแหล่งข้อมูล แหล่งข้อมูลสามารถแบ่งออกเป็น แหล่งข้อมูลภายใน ข้อมูลส่วนบุคคล และแหล่งข้อมูลภายนอก สามารถแบ่งได้ คือ
a.       แหล่งข้อมูลภายใน (Internal Data Sources) ข้อมูลภายในองค์กรมักจะเกี่ยวกับคน สินค้า บริการ ซึ่งจะพบในที่หนึ่งที่ใดหรือ หลาย ๆ ที่ เช่นข้อมูลเกี่ยวกับ ลูกจ้างและค่าแรง
b.       ข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data) ผู้ใช้งานหรือพนักงานของบริษัททั่ว ๆ ไปอาจจะทำเอกสารของตนเองตามหน้าที่ และความเชี่ยวชาญที่ตนมีโดยจัดเก็บเป็นข้อมูลส่วนตัว
c.       แหล่งข้อมูลภายนอก (External Data Sources) แหล่งข้อมูลภายนอกมีมากมายมหาศาลจึงมักไม่มีความสัมพันธ์กับระบบงานใดเป็นการเฉพาะ
§  แหล่งเก็บข้อมูล (Data Storage) คือที่ซึ่งจะเก็บข้อมูลที่ได้จากการประมวลผลแล้ว ไว้สำหรับใช้ในการผลิตสารสนเทศต่อไป   การบริหารข้อมูล (Data Administration)
การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) คือ การนำเอาข้อมูลแผนที่ต่าง ๆ ที่เก็บไว้ในระบบมาทำการประมวลผล

ข้อดีของระบบฐานข้อมูล
ข้อเสียของระบบฐานข้อมูล
1.          ลดความยุ่งยาก คือ ดำเนินการยาก
2.          ลดความซับซ้อน คือ มีหลายขั้นตอน
3.          ลดความสับสน คือ เลือกไม่ถูก
4.          ลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
5.          ยืดหยุ่นในการเปลี่ยนแปลง
6.          ได้ข้อมูลที่ต้องการในเวลาที่ต้องการ
1.       มีค่าใช้จ่ายสำหรับฮาร์ดแวร์
2.       มีค่าใช้จ่ายสำหรับซอฟท์แวร์
3.       มีค่าใช้จ่ายสำหรับผู้เชี่ยวชาญ
4.       มีค่าใช้จ่ายดำเนินการ
5.       มีค่าพัฒนาระบบฐานข้อมูล











Ø ระบบประมวลผลรายการ (Transaction Processing Systems - TPS)  เป็นระบบที่ทำหน้าที่ในการปฏิบัติงานประจำ ทำการบันทึกจัดเก็บ  ประมวลผลรายการที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน  โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำงานแทนการทำงานด้วยมือ  ทั้งนี้เพื่อที่จะทำการสรุปข้อมูลเพื่อสร้างเป็นสารสนเทศ  ระบบประมวลผลรายการนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นระบบที่เชื่อมโยงกิจการกับลูกค้า ตัวอย่าง เช่น ระบบการจองบัตรโดยสารเครื่องบิน  ระบบการฝากถอนเงินอัตโนมัติ เป็นต้น  ในระบบต้องสร้างฐานข้อมูลที่จำเป็น  ระบบนี้มักจัดทำเพื่อสนองความต้องการของผู้บริหารระดับต้นเป็นส่วนใหญ่เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานประจำได้  ผลลัพธ์ของระบบนี้ มักจะอยู่ในรูปของ รายงานที่มีรายละเอียด  รายงานผลเบื้องต้น
Ø ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ  (Management Information Systems- MIS)  เป็นระบบสารสนเทศสำหรับผู้ปฏิบัติงานระดับกลาง  ใช้ในการวางแผน  การบริหารจัดการ และการควบคุม  ระบบจะเชื่อมโยงข้อมูลที่มีอยู่ในระบบประมวลผลรายการเข้าด้วยกัน  เพื่อประมวลและสร้างสารสนเทศที่เหมาะสมและจำเป็นต่อการบริหารงาน  ตัวอย่าง เช่น ระบบบริหารงานบุคลากร  ผลลัพธ์ของระบบนี้ มักอยู่ในรูปของรายงานสรุป  รายงานของสิ่งผิดปกติ
Ø ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ  (Decision Support Systems – DSS)  เป็นระบบที่ช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจสำหรับปัญหา หรือที่มีโครงสร้างหรือขั้นตอนในการหาคำตอบที่แน่นอนเพียงบางส่วน  ข้อมูลที่ใช้ต้องอาศัยทั้งข้อมูลภายในกิจการและภายนอกกิจการประกอบกัน  ระบบยังต้องสามารถเสนอทางเลือกให้ผู้บริหารพิจารณา เพื่อเลือกทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสถานการณ์นั้น  หลักการของระบบ สร้างขึ้นจากแนวคิดของการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยการตัดสินใจ โดยให้ผู้ใช้โต้ตอบโดยตรงกับระบบ ทำให้สามารถวิเคราะห์ ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขและกระบวนการพิจารณาได้ โดยอาศัยประสบการณ์ และ ความสามารถของผู้บริหารเอง  ผู้บริหารอาจกำหนดเงื่อนไขและทำการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขต่างๆ ไปจนกระทั่งพบสถานการณ์ที่เหมาะสมที่สุด แล้วใช้เป็นสารสนเทศที่ช่วยตัดสินใจ  รูปแบบของผลลัพธ์ อาจจะอยู่ในรูปของ รายงานเฉพาะกิจ  รายงานการวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจ  การทำนาย หรือ พยากรณ์เหตุการณ์
Ø ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูง  (Executive Information System - EIS)  เป็นระบบที่สร้างสารสนเทศเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้บริหารระดับสูง ซึ่งทำหน้าที่กำหนดแผนระยะยาวและเป้าหมายของกิจการ  สารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูงนี้จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลภายนอกกิจกรรมเป็นอย่างมาก   ยิ่งในยุคปัจจุบันที่เป็นยุค Globalization  ข้อมูลระดับโลก แนวโน้มระดับสากลเป็นข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการแข่งขันของธุรกิจ  ผลลัพธ์ของระบบนี้ มักอยู่ในรูปของการพยากรณ์/การคาดการณ์